วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ไมคอร์ไรซา (mycorrhiza)


ไมคอร์ไรซา (mycorrhiza) มาจากภาษากรีกสองคำคือ Mycor แปลว่า รา และ Rhiza แปลว่า ราก ใช้เรียกการอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (symbiotic associations) ของรากับรากพืชที่มีชีวิต โดยรานั้นต้องไม่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่อรากพืช ราที่อยู่อาศัยร่วมกับรากพืชจะได้รับสารประกอบคาร์บอนและสารอื่น ๆ จากกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืช ส่วนพืชได้รับประโยชน์คือ ราช่วยเพิ่มการดูดซับน้ำและธาตุอาหารให้กับพืชและเพิ่มความสามารถในการทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการเติบโต อันได้แก่ ความเป็นกรดเป็นด่างที่ไม่เหมาะสมของดิน ความแห้งแล้ง ดินเปรี้ยว ดินเค็ม เป็นต้น นอกจากนี้รายังช่วยป้องกันรากพืชจากการเข้าทำลายของเชื้อโรคด้วย (Marx and Barnett, 1974)
ไมคอร์ไรซาแบ่งออกเป็น 7 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ เอคโตไมคอร์ไรซา (ectomycorrhiza) อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซา (arbuscular mycorrhiza) เอคเทนโดไมคอร์ไรซา (ectendomycorrhiza) อีรีคอยด์ไมคอร์ไรซา (ericoid mycorrhiza) โมโนโทรพอยด์ ไมคอร์ไรซา (monotropoid mycorrhiza) อาร์บูทอยด์ ไมคอร์ไรซา (arbutoid mycorrhiza) และ ออร์คิด ไมคอร์ไรซา (orchid mycorrhizas) โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ (Harley and Smith, 1983; Brundrett, 1996; Peterson et al., 2004)

1. เอคโตไมคอร์ไรซา (ectomycorrhiza)
เอคโตไมคอร์ไรซา (ectomycorrhiza) อาจถูกเรียกในชื่อ ectotrophic association หรือ sheathing mycorrhiza ราเอคโตไมคอร์ไรซาสร้างเส้นใยสานกันห่อหุ้มบริเวณผิวของรากแขนง มีลักษณะเป็นแผ่นเรียกว่า แผ่นแมนเทิล (mantle sheath) เส้นใยจะแทงผ่านชั้นเซลล์ผิว (epidermis) ของรากเข้าไปเจริญอยู่ระหว่างเซลล์ในชั้นคอร์เทกซ์ (cortex) ทำให้มีลักษณะคล้ายร่างแห เรียกว่า เส้นใยฮาร์ติกเน็ท (Hartig net) แต่ไม่พบเส้นใยดังกล่าวเจริญเข้าไปในชั้นของเอนโดเดอร์มิส (endodermis) และบริเวณชั้นท่อลำเลียงน้ำ แผ่นแมนเทิลทำหน้าที่เคลื่อนย้ายน้ำและธาตุอาหารจากดินสู่รากพืช ดูดซับและสะสมสารประกอบ ได้แก่ กลูโคส (glucose) ฟรุคโตส (fructose) ทรีฮาโรส (trehalose) แมนนิโทส (mannitose) ลิปิด (lipid) โปรตีน (protein) ฟีนอลลิก (phenolic) และสารกลุ่มโพลีฟอสเฟต (polyphosphate) เป็นต้น (Zak, 1973)

รากเอคโตไมคอร์ไรซามีการเปลี่ยนแปลงจากรากปกติ คือ มีการแตกแขนงเพิ่มขึ้น และมีขนาดของรากใหญ่ขึ้น เป็นการช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวของรากในการดูดซึมธาตุอาหารและน้ำให้แก่ต้นไม้ (อุทัยวรรณ, 2537; Marks and Foster, 1973) จากการศึกษาของ Nardini et al. (2000) พบว่า Tuber melanosporum ช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวรากของกล้า Quercus ilex L. ทำให้กล้าไม้สามารถดูดซึมน้ำเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับการศึกษาของ Wallander (2000) ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับการดูดซึมธาตุฟอสฟอรัสของกล้าสน Pinus sylvestris พบว่ากล้าสนที่ปลูกด้วยราเอคโตไมคอร์ไรซา Suillus variegates มีการดูดซึมธาตุฟอสฟอรัสมากกว่ากล้าสนที่ไม่ได้ปลูกรา เนื่องจากราช่วยย่อยสลาย apatite ให้เป็นธาตุฟอสฟอรัสที่อยู่ในรูปซึ่งพืชนำไปใช้ประโยชน์ได้ โดยการปล่อยกรด oxalic ออกมา บริเวณรอบๆ ราก นอกจากนี้ราเอคโตไมคอร์ไรซา Pisolithus tinctorius ช่วยเพิ่มปริมาณธาตุอาหารในส่วนของใบ ลำต้น และรากของกล้าไม้สนสามใบและสนคาริเบีย ที่สำคัญได้แก่ ธาตุไนโตรเจน ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุแมกนีเซียมและธาตุแคลเซียม (ธีรวัฒน์, 2533) ด้านการป้องกันรากพืชจากการเข้าทำลายของเชื้อโรคนั้น มีตัวอย่างการศึกษาของ Duchesne et al. (1988) ที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อปลูกราเอคโตไมคอร์ไรซา Paxillus involutus ให้กับกล้าสน Pinus resinosa สามารถเพิ่มความต้านทานต่อการเข้าทำลายของ Fusarium oxysporum f. sp. pini ได้มากกว่า 90 เปอร์เซนต์เนื่องจากเชื้อรา P. involutus ผลิต antibiotic บริเวณรอบรากทำให้ยับยั้งการงอกของสปอร์ได้ ราเอคโตไมคอร์ไรซาสามารถควบคุมไส้เดือนฝอยได้ ซึ่ง Duponnois et al. (2000) ได้ทดลองใช้ราเอคโตไมคอร์ไรซา Pisolithus spp. ควบคุมไส้เดือนฝอยรากปม Meloidogyne javanica ใน Acacia holosericea และพบว่าหลังจากปลูกเส้นใยบริสุทธิ์ของราเอคโตไมคอร์ไรซา Pisolithus spp. ให้กับต้นกล้า พบว่าต้นกล้าที่มีเอคโตไมคอร์ไรซามีการเติบโต ด้านมวลชีวภาพส่วนยอดและราก สูงกว่าต้นกล้าที่ไม่มีเอคโตไมคอร์ไรซา
รากเอคโตไมคอร์ไรซาอาจมี สีน้ำตาล เหลือง ขาว เขียว ดำ น้ำเงิน ทอง ขึ้นอยู่กับชนิดของราเอคโตไมคอร์ไรซาที่เข้าไปอาศัยอยู่ร่วมกับรากพืช สีของรากเอคโตไมคอร์ไรซาอาจไม่เกิดจากราแต่เกิดจากสีของเซลล์ชั้นแทนนิน (Marks and Foster, 1973; Zak, 1973) Wilcox (1982) พบว่าสีและลักษณะผิวของรากเอคโตไมคอร์ไรซาแตกต่างกันไป เนื่องจาก สี ความหนาของแผ่นแมนเทิล ซึ่งเปลี่ยนแปลงได้เนื่องจากได้รับอิทธิพลของความเป็นกรดเป็นด่างของดินบริเวณที่ราอาศัยอยู่ ผิวของแผ่นแมนเทิลอาจมี rhizomorph เจริญยื่นออกมาได้ ส่วนใหญ่แล้วมีสีเข้มกว่าแผ่นแมนเทิล มีขนาดและลักษณะผิวแตกต่างกัน ได้แก่ ผิวเรียบ คล้ายกำมะหยี่ หรือคล้ายขนสัตว์ เป็นต้น (Zak, 1973)

สำหรับราที่เป็นเอคโตไมคอร์ไรซาส่วนใหญ่อยู่ในชั้น (class) Basidiomycetes มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นราในชั้น Ascomycetes และมีเพียง 1 สกุล (genus) ที่อยู่ในชั้น Zygomycetes คือ สกุล Endogone Brundrett et al. (1996) รายงานว่า พืชที่มีเอคโตไมคอร์ไรซาเกือบทั้งหมดเป็นพืชป่าไม้ ได้แก่ วงศ์ Pinaceae, Fagaceae, Betulaceae, Salicaceae, Juglandaceae, Caesalpiniaceae, Dipterocarpaceae, Myrtaceae และ Tiliaceae

2. อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซา (arbuscular mycorrhiza)
ราเอนโดไมคอร์ไรซาไม่สร้างแผ่นแมนเทิลมีเส้นใยที่แทงผ่านผนังเซลล์ชั้นเซลล์ผิวเข้าไปเจริญอยู่ภายในเซลล์ของชั้นเซลล์ผิวและชั้นคอร์เทกซ์ แต่เส้นใยของราจะไม่เจริญเข้าไปในเซลล์ชั้นเอนโดเดอร์มิส และชั้นท่อลำเลียงน้ำและอาหาร ราจะสร้างโครงสร้าง 2 แบบ เพื่อทำหน้าที่ดูดอาหารคือ โครงสร้างที่มีรูปร่างกลมและผนังบาง เรียกว่า เวสสิเคิล (vesicle) หรืออาจสร้างโครงสร้างที่มีผนังหนา แตกแขนงคล้ายรากไม้ เรียกว่า อาบัสคูล (arbuscule) ใช้สำหรับสะสมธาตุอาหาร รากที่มีเอนโดไมคอร์ไรซาจะมีรูปร่างเช่นเดียวกับรากพืชปกติทั่วๆไป (Harley and Smith, 1983; Brundrett et al., 1996) ปัจจุบันนิยมเรียกความสัมพันธ์ชนิดนี้ว่า arbuscular mycorrhiza จากเดิมที่เคยเรียกว่า endomycorrhiza และ vesicular-arbuscular mycorrhiza (Peterson et al., 2004)
ราเอนโดไมคอร์ไรซาเป็นราที่อาศัยอยู่ในดิน ส่วนใหญ่จัดอยู่ในชั้น Glomeromycetes ประกอบด้วย 4 อันดับ คือ Archaesporales, Paraglomerales, Diversisporales และ Glomerales ความสัมพันธ์แบบเอนโดไมคอร์ไรซาพบในพืชเกือบทุกชนิด ทั้งที่เป็นพืชกลุ่ม gymnosperm เช่น สกุล Thuja, Sequoia, Metasequoia และพืชกลุ่ม angiosperm ยกเว้นพืชในวงศ์ Brassicaceae, Chenopodiaceae นอกจากนี้ราเอนโดไมคอร์ไรซาหลายชนิดพบในพืชไร่ เช่น ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าว ถั่วเหลือง องุ่น ฝ้าย เป็นต้น และพบในพืชสวนหลายชนิด เช่น กุหลาบ ลิลลี่ คาเนชั่น เป็นต้น (Peterson et al., 2004)

3. เอคเทนโดไมคอร์ไรซา (ectendomycorrhiza)
ไมคอร์ไรซาชนิดนี้มีลักษณะของเอคโตไมคอร์ซาและเอนโดไมคอร์ไรซาอยู่ด้วยกัน ราเอคเทนโดไมคอร์ไรซาอาจสร้างแผ่นแมนเทิล และเส้นใยฮาร์ติกเน็ทเหมือนกับเอคโตไมคอร์ไรซาขึ้น และสร้างเส้นใยภายในเซลล์ชั้นเซลล์ผิวและชั้นคอร์เทกซ์ด้วย เส้นใยที่เจริญเข้าไปภายในเซลล์มีรูปร่างคล้ายขดลวด (Brundrett et al., 1996; Peterson et al., 2004)
Mikola (1965) และ Harley and Smith (1983) พบว่าราเอคเทนโดไมคอร์ไรซาส่วนใหญ่อยู่ในชั้น Basidiomycetes และ Ascomycetes มีการสร้าง chlamydospore อยู่ภายในเส้นใยแต่ไม่พบการสร้าง conidium และโครงสร้างสืบพันธุ์อื่น ๆ ราเอคเทนโดไมคอร์ไรซาที่พบใน Pinus contorta จัดอยู่ในชั้น Ascomycetes ในอันดับ Pezizales เช่น Wilcoxina mikolae var. mikolae,W. mikolae var. tetraspora และ W. rehmin ความสัมพันธ์แบบเอคเทนโดไมคอร์ไรซาพบในพืชตระกลูสน 2 สกุล คือ สกุล Pinus มีประมาณ 100 ชนิด และสกุล Larix มีประมาณ 10-20 ชนิด (Peterson et al., 2004)


4. อีรีคอยด์ไมคอร์ไรซา ไมคอร์ไรซา (ericoid mycorrhiza)

รากพืชที่มี ericoid mycorrhiza อาศัยอยู่นั้นจะมีลักษณะพิเศษคือ มีรากแขนง (lateral roots) ซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางแคบ ๆ เรียกว่า hair root ขึ้น รา ericoid mycorrhiza สร้างเส้นใยเจริญพันกันคล้ายขดลวด ไม่สร้างแผ่นแมนเทิลและเส้นใยฮาร์ติกเน็ท ericoid mycorrhiza มีบทบาทในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหาร รา ericoid mycorrhiza ที่พบ ได้แก่ Pezizella ericae และ Oidiodendron sp. ซึ่งอยู่ในชั้น Ascomycetes (Peterson et al., 2004) บางชนิดเป็นราในชั้น Basidiomycetes (Brundrett et al., 1996) พืชในอันดับ Ericales โดยเฉพาะพืชในวงศ์ Ericaceae, Epacridaceae และ Empetraceae มีความสัมพันธ์แบบ ericoid mycorrhiza (Harley and Smith, 1983; Peterson et al., 2004)
5. โมโนโทรพอยด์ ไมคอร์ไรซา (monotropoid mycorrhiza)
รา monotropoid mycorrhiza สร้างแผ่นแมนเทิลซึ่งบางครั้งมีความหนามากบริเวณรอบราก สร้างเส้นใยฮาร์ติกเน็ทบริเวณชั้นเซลล์ผิว และพบเส้นใยแทงเข้าไปในเซลล์ของชั้นเซลล์ผิว ต่อมาเจริญเป็น haustorium ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นใยสั้น ๆ ไม่แตกแขนง (Harley and Smith, 1983; Peterson et al., 2004) รา monotropoid mycorrhiza จัดอยู่ในชั้น Basidiomycetes ได้แก่ Tricholoma, Russula ส่วนใหญ่พบในพืชวงศ์ Monotropaceae สำหรับสกุลที่พบในแถบเอเซีย ได้แก่ Cheilotheca, Monotropa และ Pleuricospora (Peterson et al., 2004) มักพบไมคอร์ไรซาชนิดนี้อยู่ร่วมกับไม้ป่าหลายชนิด เช่น บีช (beech) สน (pine) และ conifer ชนิดอื่น ๆ (Harley and Smith, 1983)
6. อาร์บูทอยด์ ไมคอร์ไรซา (arbutoid mycorrhiza)
รา arbutoid mycorrhiza สร้างแผ่นแมนเทิลและเส้นใยฮาร์ติกเน็ท เจริญระหว่างเซลล์ชั้นเซลล์ผิว หรืออาจสร้างเส้นใยคล้ายขดลวดขึ้นภายในเซลล์ ราที่มีความสัมพันธ์เช่นนี้จัดอยู่ในชั้น Basidiomycetes บางครั้งอาจพบราจัดอยู่ในชั้น Ascomycetes และ Zygomycetes ด้วย (Brundrett et al., 1996) พืชที่มีความสัมพันธ์กับไมคอร์ไรซาชนิดนี้คือ พืชสกุล Arbutus และสกุล Arctostaphylos ซึ่งจัดอยู่ในวงศ์ Ericaceae และหลายสกุลในวงศ์ Pyrolaceae เช่น สกุล Pyrola (Peterson et al., 2004)


7. ออร์คิด ไมคอร์ไรซา (orchid mycorrhiza)

รา orchid mycorrhiza สร้างเส้นใยที่มีลักษณะคล้ายขดลวดภายในเซลล์ เรียกว่า pelotons อาจเรียกว่าเป็นเอนโดไมคอร์ไรซาชนิดหนึ่ง ราที่มีความสัมพันธ์แบบไมคอร์ไรซาชนิดนี้จัดอยู่ในชั้น Basidiomycetes ตัวอย่างเช่น Rhizoctonia ซึ่งสามารถกระตุ้นการงอกของเมล็ดกล้วยไม้ได้ พืชวงศ์กล้วยไม้ (Orchidaceae) หลายชนิดมีความสัมพันธ์แบบ orchid mycorrhiza เช่น Paphiopedilum sp., Cephalanthera longibracteata เป็นต้น (Peterson et al., 2004)




Cr:http://lookforest.com/00_newlook/article_person.php?id_send=7

 วิธีใช้เชื้อไมเคอร์ไรซ่า มันขึ้นอยู่กับขนาดของต้นครับถ้าต้นยิ่งใหญ่ก็ยิ่งใช้เชื้อมากครับเช่นการปลูกยางพาราเป็นต้นถ้าต้นยางเล็กใช้แค่10กรัมก็พอครับคือผสมหรือคลุกกับปุ๋ยอินทรีย์1กระป๋องนมครับลองก้นหลุม หรือ ที่เห็นชัดก็คือการตอนกิ่งไม้ครับใช้ขุยมะพร้าวแช่น้ำตามปกติแต่เพิ่มโพลิเมอร์ลงไปด้วยครึ่งนึ่งหรือ1/4ครับแล้วเราก็ผสมเชื้อไมคอร์ไรซ่าลงไปด้วยซัก5กรัมครับแล้วท่านก็ไม่ต้องลดน้ำอีกมันก็อยู่ได้แล้วถ้าต้นใหญ่แล้วก็อาจจะต้องใช้ทั้งซอง500กรัมครับเพราะต้องใส่รอบทรงพุ้มโดยผสมกับปุ๋ยอินทรีย์ ประโยชน์ของเชื้อไมคอร์ไรซ่าใส่เพียงคร้งเดียวก่อนปลูกมันจะอยู่กับต้นไม้ของท่านจนวันตาย คิอ
1.ช่วยตรึงไนโตเจนในอากาศมาเป็นปุ๋ย 
2.ละลายฟอสฟอรัสที่ตกค้างอยู่ในดินและโปรแตสเซี่ยมเช่นจากขี้เถ้าแกลบมาเป็นปุ๋ย 
3.ช่วยปรับphให้กับพืชให้เหมาะสมกับพืชให้ลืมเรื่องรากเน่าไปเลย 
4.ช่วยพืชได้ทนแล้งมากขึ้น 
5.ถ้าใช้แล้วเมื่อต้นไม้โตแล้วจะเกิดเห็ดมาให้ท่านกินครับ 

ราคาเขื้อไมคอร์ไรซ่าคือถุงละ150บาทหนัก500กรัมขั้นต่ำ5ถุงขึ้นไป ข้อมูลการวิจัยเชื้อไมตอร์ไรซ่า http://www.dnp.go.th/foremic/fmo/mycorrhiza.htm วิธีดูปุ๋ยอินทรีว่าดีหรือไม่ดีคือเอาปุ๋ยอินทรีมา1/2แก้วแล้วใส่น้ำส้มสายชูลงไปพอท่วมปุ๋ยถ้าปุ๋ยดีจริงมันจะเกิดฟองฟูขึ้นมาก็เป็นอันใช้ได้


มาช่วยกันลดการใช้ปุ๋ยเคมีและหันมาใช้ปุ๋ยชีวภาพกันเถอ

http://it.doa.go.th/pibai/pibai/n13/v_11-dec/kayaipon.html          
เมื่อพูดถึงการปลูกพืชใดๆ ก็ตามผู้ที่ปลูกพืชนั้นๆ ย่อมต้องการให้พืชที่ปลูกเจริญเติบโตได้ผลผลิตที่ดี สมบูรณ์ปราศจากโรคแมลงมารบกวน
และสิ่งหนึ่งที่จะสามารถทำให้พืชผลนั้นเจริญงอกงามก็ได้ด้วยวิธีหนึ่ง    คือการใช้ปุ๋ยการใช้ปุ๋ยต้องคำนึงถึงด้วยว่าปุ๋ยที่ใช้ตรงความต้องการของพืช
ชนิดที่ปลูกนั้นหรือไม่ปุ๋ยบางชนิดบำรุงส่วนต่าง ๆ ของพืชแตกต่างกัน บางชนิดใช้ได้ผลในการเร่งดอก บางชนิดเร่งผล เป็นต้น

          การใช้ปุ๋ยของเกษตรกรในปัจจุบันมุ่งเน้นในการใช้ปุ๋ยเคมีเป็นหลัก    ซึ่งนับว่าเป็นปุ๋ยที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย  แต่ในปัจจุบันนอกจากปุ๋ยเคมี
แล้วยังมีปุ๋ยที่เป็นทางเลือกของเกษตรกรอีกชนิดหนึ่งคือ ปุ๋ยชีวภาพ

          ปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซ่า     คือ ปุ๋ยที่ประกอบไปด้วยราอาบัสคูลาไมโคไรซ่าที่มีชีวิต    และสามารถดูดซึมธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืช
ได้   ไมโคไรซ่าเป็นเชื้อราในดินกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่บริเวณรากพืช และเจริญเข้าไปภายในราก   โดยอยู่ร่วมกับรากพืชในรูปแบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกัน
และกันกล่าวคือ พืชให้อาหารจำพวกน้ำตาลที่ได้จากการสังเคราะห์แสงแก่ไมโคไรซ่า    ส่วนไมโคไรซ่าช่วยดูดธาตุอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญ
เติบโตส่งต่อให้แก่พืชอาบัสคูไมโคไรซ่า  จะสร้างเส้นใยเจริญรอบราก  แล้วเข้าไประหว่างเซลล์และภายในเซลล์รากพืช  โดยมีการสร้างโครงสร้าง
พิเศษ คือ เวสสิเคิล และอาบัสคูล  เรียกว่าอาบัสคูมาไมโคไรซ่ามักพบในพืชทั่วไป ได้แก่ ไม้ผลหลายชนิด ยางพารา และผักบางชนิด เป็นต้น

ประโยชน์ของปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซ่า

           ปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซ่า ช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวรากพืชในการดูดน้ำและธาตุอาหาร    การใช้ปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซ่า ช่วยให้รากพืชแตกแขนงมากขึ้น 
รวมทั้งเส้นใยของราที่เจริญห่อหุ้มรอบรากถือเป็นการเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดน้ำ   และธาตุอาหาร  ช่วยให้พืชเจริญเติบโตและทนแล้งได้ดี ปุ๋ยชีวภาพ
ชนิดนี้ยังช่วยดูดธาตุอาหารที่สลายตัวยากหรืออยู่ในรูปที่ถูกตรึงไว้ในดิน  ส่งต่อให้กับพืชผ่านผนังเส้นใยของราไมโคไรซ่า  สู่ผนังเซลล์ของรากพืช 
โดยเฉพาะธาตุฟอสฟอรัส     ซึ่งมักถูกตรึงโดยการรวมตัวกับเหล็ก  อะลูมินัม  แคลเซียม  หรือแมกนีเซียม        ทำให้ละลายน้ำได้ยากและไม่เป็น
ประโยชน์ต่อพืช

          ช่วยให้พืชทนทานต่อโรครากเน่าหรือโคนเน่าที่มีสาเหตุมาจากเชื้อรา โดยเมื่อราไมโคไรซ่าเข้าไปอาศัยอยู่ในรากพืชก่อนแล้วจะช่วยป้องกัน
ไม่ให้เชื้อราที่เป็นสาเหตุโรครากเน่า  เข้าสู่รากพืช ปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซ่ายังสามารถใช้ร่วมกับสารเคมีทางการเกษตรบางชนิด ได้แก่ สารเคมีป้องกัน
กำจัดแมลง  เช่น endrin, chlordane, methyl, parathion, methomyl, carbofuran  เป็นต้น    สารกำจัดวัชพืช เช่น glyphosate, fluazifopbutyl, 
เป็นต้น  สารกำจัดโรคพืช  เช่น captan, benomyl, maNEBTRIFORINE, MANCOZEB และ zinneb เป็นต้น   ปุ๋ยชนิดนี้ยังช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมี ได้
ครึ่งหนึ่งของอัตราการใช้ปุ๋ยปกติในไม้ผล  นอกจากนั้นยังเป็นการเพิ่มคุณภาพ และผลผลิตพืชและที่สำคัญไปกว่านั้น  การใส่ปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซ่า
ครั้งเดียวอยู่ในรากพืชไปตลอดชีวิตของพืช

วิธีใช้

          สามารถใช้ปุ๋ยชีวภาพอาบัสคูลาไมโคไรซ่าได้ดีกับไม้ผล ไม้ยืนต้น ยางพารา  และผักบางชนิดโดยการคลุกผสมปุ๋ยชีวภาพอาบัสคูลาไมโค-
ไรซ่า2 – 3 กรัม  หรือครึ่งช้อนชาต่อต้น  กับดินที่ใช้เพาะชำกล้าพืชยืนต้น ไม้ผล        หรือโรยให้สัมผัสรากฝอยของพืชหลังจากกิ่งชำงอกรากแล้ว
อย่างน้อย 1 เดือน  จึงย้ายปลูกลงแปลงไม้ผล ไม้ยืนต้น ยางรารา อายุมากกว่า 1 ปี  ใส่ปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซ่า 10 กรัม หรือ 1 ช้อนโต๊ะปาด ต่อพืช 
1 ต้น แต่ถ้าให้ได้ผลดี  ควรใส่ในระยะต้นกล้าหรือรองก้นหลุมก่อนปลูก     ทั้งนี้ พืชที่โตแล้วให้ขุดเป็นร่องบริเวณทรงพุ่ม หรือเกลี่ยใบไม้ที่คลุมอยู่
ออกจนพบรากฝอยแล้วโรยปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซ่าให้สัมผัสกับรากฝอยจนรอบทั้งต้น  จากนั้นจึงกลบรากดังเดิม รดน้ำตามความเหมาะสม

การเก็บรักษา

          เก็บรักษาปุ๋ยชีวภาพอาบัสคูมาไมโคไรซ่าไว้ในที่ร่ม อุณหภูมิห้องปกติ สามารถอยู่ได้นาน 1 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของไมโคไรซ่า

ข้อควรระวัง

          ไม่ควรใช้ปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซ่าร่วมกับสารกำจัดโรคพืชพวก fosetyl, metalaxyl  และ mancozeb + metalaxyl    เนื่องจากสารเคมีเหล่านี้
มีผลบับยั้งการเจริญเติบโตของไมโคไรซ่าและห้ามเก็บปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซ่าที่อุรหภูมิสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส หรือโดนแสงแดดโดยตรง

การจำหน่าย

           ปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซ่าชนิดอาบัสคูมาไมโคไรซ่า    ขนาดบรรจุ 500 กรัม     โดยมีจำนวนสปอร์มากกว่า 25 สปอร์ ต่อกรัม    จำหน่ายถุงละ 
60 บาท   สำหรับไม้ผล ได้แก่ มะม่วง ขนุน ทุเรียน มังคุด ส้ม มะนาว ลำไย สับปะรด มะละกอ ลองกอง และมะขามหวาน เป็นต้น    นอกจากนี้ยังมี
ยางพารา สบู่ดำ รวมทั้งพืชผัก ได้แก่ หน่อไม่ฝรั่ง

          ท่านผู้อ่านที่มีความประสงค์จะซื้อปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซ่าหรือขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานวิจัยจุลินทรีย์ดิน กลุ่มวิจัยปฐพีวิทยา
สำนักวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร    กรมวิชาการเกษตรมีนักวิชาการที่จะคอยตอบข้อสงสัย      โดยสอบถามข้อมูลได้ที่เบอร์โทรศัพท์
0-2579-0065 หรือ 0-2579-7522-3 ในวัน เวลา ราชการ




การวิจัยเกี่ยวกับราไมคอร์ไรซาทางด้านป่าไม้ในประเทศไทย

ไมคอร์ไรซามีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการช่วยป้องกันการติดเชื้อโรคทางระบบรากของกล้าไม้และต้นไม้ ช่วยเพิ่มพื้นที่ ผิวของรากทำให้มีีประสิทธิภาพในการดูดชับน้ำและอาหารให้แก่ต้นไม้มากกว่าปกติ ช่วยทำให้เกิดการหมุนเวียน ของธาตุอาหารในดินดีขึ้น ช่วยเปลี่ยนแปลง แร่ธาตุอาหารในดินจากสภาพที่ต้นไม้นำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ ให้กลายสภาพที่ต้นไม้นำไปใช้ประโยชน์ได้ ช่วยทำให้ระบบรากของต้นไม้ มีความแข็งแรงมีอายุยืนยาวนาน ทนทานต่อสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงแห้งแล้ง ความรุนแรงของสภาพดินฟ้าอากาศ เช่น ร้อนจัด หนาวจัด สารพิษ
ในดิน ความเป็นกรดหรือด่างที่มากหรือน้อยเกินไปเป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถช่วยทำให้กล้าไม้มี อัตราการรอดตายสูง และช่วยเร่งให้ต้นไม้มีอัตราเจริญเติบโตสูงถึง 1-5 เท่าจากอัตราปกติ

ได้มีการศึกษาไมคอร์ไรซากันอย่างกว้างขวางพบว่าเชื้อราไมคอร์ไรซาจะมีมากในดินป่าธรรมชาติซึ่งมีพันธุ์ไม้ ขึ้นอยู่หนาแน่นไม่ถูกรบกวน ส่วนในป่าท้องที่เสื่อมโทรมถูกแผ้วถางทำไร่ เลื่อนลอยนาน ๆ เชื้อราจะถูกชะล้างลอยไปตามหน้าดิน ที่ถูกน้ำฝนชะล้างไหลลอยไปตาม ลำห้วย ลำธาร และแม่น้ำต่าง ๆ จึงทำให้ท้องที่ป่าแหล่งเสื่อมโทรมขาดแคลนเชื้อราไมคอร์ไรซาได้

อนิวรรตและธีรวัฒน์ (2525) ได้ทำการสำรวจและศึกษาเอคโตไมคอร์ไรซาในระบบนิเวศน์ป่าดิบแล้ง บริเวณสถานี วิจัยสิ่งแวดล้อม สะแกราช ต.วังน้ำเขียว อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา พบพันธุ์ไม้จำนวน 4 วงศ์ 6 สกุล รวม 8 ชนิด หรือ ประมาณ 5.71% เป็นเอคโตไมคอร์ไรซา ได้แก่ ไม้ วงศ์ Caesalpiniaceae : มะค่าโมง, วงศ์ Dipterocarpaceae : ยางขาว, ยางปาย, ตะเคียนหิน, ตะเคียนทอง, เคี่ยมคะนอง, วงศ์ Fagaceae : ก่อขี้หมู และวงศ์ Rubiaceae : คัดเค้า มีพันธุ์ไม้จำนวน 4 วงศ์ 4 สกุล รวม 4 ชนิด หรือประมาณ 2.85% เป็นเอคเทนโดไมคอร์ไรซา มีพันธุ์ไม้
จำนวน 42 วงศ์ 89 สกุล 113 ชนิด หรือประมาณ 80.71% เป็นเอ็นโดไมคอร์ไรซา ผลการสำรวจชนิด ของเห็ดรา ไมคอร์ไรซา ที่น่าจะมีศักยภาพเป็น เอคโตไมคอร์ไรซา ได้แก่ เห็ดราในวงศ์ Russulaceae : เห็ดไคลหลังเขียว, เห็ดน้ำแป้ง, เห็ดไคลหลังขาว, เห็ดน้ำหมาก และ เห็ดหาด, วงศ์ Boletaceae : เห็ดน้ำผึ้ง, วงศ์ Cortinariaceae : เห็ดขี้เถ้า และวงศ์ Sclerodermataceae : เห็ดเผาะ

สมบูรณ์ (2532) ทำการศึกษาผลกระทบของการเพาะเชื้อเอคโตไมคอร์ไรซา Pisolithus tinctorius (Pers.) 
Coker & Couch ต่อ การเจริญเติบโตและการดูดซับธาตุอาหารของกล้าไม้ยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิส และสนคาริเบียที่ปลูกบนมูลดินเหมืองแร่ พบว่า เมื่อกล้าไม้มีอายุ 6 เดือน กล้าไม้ที่ปลูกราเอคโตไมคอร์ไรซา มีการเจริญเติบโตด้านความสูง เส้นผ่าศูนย์กลางที่ระดับคอราก มวลชีวภาพ น้ำหนักแห้ง ปริมาณธาตุฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม สูงกว่ากล้าไม ้ที่ไม่ได้ปลูก ราเอคโตไมคอร์ไรซาอย่างมีนัยสำคัญ

ธีระวัฒน์ (2533) ได้รายงานผลการทดลองการปลูกราเอคโตไมคอร์ไรซา P.tinctorius ให้กับกล้าไม้สนสามใบ และสนคาริเบีย พบว่า การเจริญเติบโตทางเส้นผ่านศูนย์กลางที่ระดับคอรากมวลชีวภาพน้ำหนักแห้ง ปริมาณการดูดซับ ธาตุฟอสฟอรัสในส่วน ของใบ ลำต้น และราก มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่างทรีทเมนต์ โดยที่ทรีทเมนต์ ที่ใส่ดินเชื้อให้ผลดีที่สุด รองลงมาได้แก่ ทรีทเมนต์ที่ใส่่สปอร์ ทรีทเมนต์ที่ใส่เส้นใย และทรีทเมนต์ที่ไม่ได้ปลูก ราเอคโตไมคอร์ไรซา ตามลำดับ 

การวิจัยเกี่ยวกับราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซาทางด้านป่าไม้ในประเทศไทยได้เริ่มดำเนินการมาเมื่อ ประมาณปี พ.ศ.2526 หรือประมาณ 15 ปีมานี้เอง ส่วนใหญ่เป็นการสำรวจความหลากหลายของชนิดพันธุ์ และการกระจายพันธุ์ รวมถึงความสัมพันธ์กับ พันธุ์ไม้ชนิดต่าง ๆ พบว่าประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของพันธุ์ไม้ป่า มีความสัมพันธ์กับราเวสสิคูลาร์- อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซา

การสำรวจความหลากหลายและการจำแนกชนิดราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซาในระบบนิเวศป่าเต็งรัง 
ป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณ หรือ ป่าผสมผลัดใบของประเทศไทย เปรียบเทียบกับชนิดพันธุ์ของโลกที่พบ ปรากฏว่าในระบบนิเวศ ป่าไม้ของไทย มีประมาณ 47 ชนิด จากชนิดพันธุ์ของราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซา ที่รู้จักชื่อแล้วในโลกนี้ ประมาณ 167 ชนิด (Hawksworth และคณะ,1995; Schenck และ Perez, 1988) 
หรือคิดเป็น 28.1 เปอร์เซ็นต์ของที่โลกรู้จัก สกุล (genus) ที่พบมากที่สุดได้แก่ สกุล Glomus มีประมาณ 20 ชนิด หรือ 23.6 เปอร์เซ็นต์ของโลก รองลงไปได้แก่ สกุล Acaulospora 8 ชนิด (24.2 เปอร์เซ็นต์ของโลก) Scutellospora 8 ชนิด (27.6 เปอร์เซ็นต์ของโลก) Sclerocystis 6 ชนิด (75.0 เปอร์เซ็นต์ของโลก) Gigaspora 3 ชนิด (37.5 เปอร์เซ็นต์ของโลก) และ Entrophospora 2 ชนิด (50.0 เปอร์เซ็นต์ของโลก) (Chalermpongse, 1987; Yantasarth และ Poonsawat, 1996)

ในระบบนิเวศป่าไม้ของไทยที่สำรวจพบว่ามี 47 ชนิดนั้น พบในระบบนิเวศป่าเต็งรัง 28 ชนิด ส่วนใหญ่เป็นสกุล Glomus คือ พบถึง 14 ชนิด รองลงไปได้แก่สกุล Scutellospora 6 ชนิด Acaulospora 3 ชนิด Entrophospora 2 ชนิด Gigaspora 2 ชนิด และสกุล Sclerocystis 1 ชนิด ส่วนระบบนิเวศป่าไม้ ที่มีชนิดพันธุ์ของราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซารองลงไป ได้แก่ ระบบนิเวศป่าดิบแล้ง มีทั้งสิ้น 25 ชนิด ได้แก่ สกุล Glomus 9 ชนิด Acaulospora 8 ชนิด Sclerocystis 3 ชนิด Scutellospora 3 ชนิด Entrophospora 1 ชนิด และ Gigaspora 1 ชนิด สำหรับระบบนิเวศป่าเบญจพรรณ หรือป่าผสมผลัดใบ มีราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซาน้อยที่สุด รวม 22 ชนิด ได้แก่สกุล Glomus 8 ชนิด Sclerocystis 6 ชนิด Scutellospora 3 ชนิด Acaulospora 2 ชนิด Gigaspora 2 ชนิด และสกุล Entrophospora มีเพียง 1 ชนิดเท่านั้น

Yantasarth และ Poonsawat (1996) ได้ทำการศึกษาในแปลงทดลองบริเวณสถานีวิจัยลุ่มน้ำแม่กลอง อำเภอ ทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี โดยแบ่งพื้นที่ทดลองออกเป็น 5 แปลงทดลอง รายงานว่าในระบบนิเวศป่าไม้ที่มี หญ้าขึ้นปกคลุมพื้นดิน จำนวนมาก พบราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซา ค่อนข้างสูงและปริมาณมาก และ ยังพบด้วยว่า ในแปลงทดลองที่เป็นทุ่งหญ้ามีปริมาณของรา เวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซาถึง 32 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณทั้งหมด รองลงไปได้แก่ แปลงสวนสักอายุน้อย (young teak plantation) 26 เปอร์เซ็นต์ ป่าธรรมชาติ 
22 เปอร์เซ็นต์ และสวนสักอายุมาก (old teak plantation) 18 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ทั้งนี้เป็นเพราะหญ้ามีปริมาณ ของ รากหาอาหารในปริมาณสูงต่อหน่วยพื้นที่ เมื่อเปรียบเทียบกับป่าไม้ที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่มาก ๆ แต่จะมี ปริมาณรากหาอาหารน้อยไม่หนาแน่นเหมือนทุ่งหญ้า อย่างไรก็ดีปัจจัยแวดล้อมที่ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของ ราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซา ยังขึ้นอยู่กับชนิดของพืชอาศัย (host plants) คุณสมบัติต่าง ๆ ของดิน เช่น ความเป็นกรด-ด่างของดิน (soil pH) ความพรุนของดิน (soil aeration) ธาตุอาหารในดิน (soil nutrients) 
อุณหภูมิของดิน ปริมาณน้ำฝน ความชื้นในดิน และจุลินทรีย์ในดิน เป็นต้น

ศูนย์เพาะชำกล้าไม้ของกรมป่าไม้ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศมากกว่า 60 แห่งได้มีการเสนอแนะจากสำนักวิชาการ ป่าไม้ให้ใช้ดินเชื้อ (soil inoculum) จากป่าธรรมชาติที่มีราไมคอร์ไรซาผสมอยู่ในดินและมีรากพืชที่มีราไมคอร์ไรซาอยู่ นำไปผสมกับดินแปลงเพาะในอัตราส่วน 10-20 เปอร์เซ็นต์ พบว่าช่วยให้กล้าไม้มีจุลินทรีย์ไมคอร์ไรซา เกิดติดกับรากต้นกล้าที่เพาะใหม่่ได้้เป็นอย่างดี เพราะราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซายังไม่สามารถ เพาะเลี้ยงในอาหารเทียมได้ดีเหมือนราเอคโตไมคอร์ไรซา (อนิวรรต,2540)

Ogawa (1992) ได้ทำการศึกษาการใช้ผงถ่านจากไม้ (wood charcoal) ทั้งที่กรมป่าไม้ และที่ประเทศญี่ปุ่น โดยทำการศึกษา การใช้ผงถ่านจากไม้ 3-5 เปอร์เซ็นต์ ผสมกับดินเพาะชำกล้าสัก ข้าวโพด ข้าวฟ่าง หญ้า และ พืชตระกูลถั่ว ที่มีราเวสสิคูลาร์- อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซา ชนิด Glomus fasciculatus (Thax.senu Gerd.) Gerd. & Trappe และ Gl. mosseae (Nicol. & Gerd.) Gerd. &Trappeพบว่าจะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของกล้าไม้ และมีการสร้างราเวสสิคูลาร์-อาร์บัสคูลาร์ไมคอร์ไรซาของกล้าไม้ดีขึ้นกว่าปกติ

จากการรายงานการวิจัยของกิตติมา (2541) ซึ่งได้ทำการปลูกเชื้อราเวสสิคูล่าร์-อาร์บัสคูลาร์ ไมคอร์ไรซา (VAM) 6 ชนิด ให้กับกล้าสัก ที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ พบว่ากล้าสักที่ได้รับการปลูกเชื้อมีการเจริญเติบโต ทางด้านความสูง เส้นผ่านศูนย์กลางที่ระดับคอราก น้ำหนักแห้งส่วนยอด น้ำหนักส่วนราก และน้ำหนักแห้งรวม มากกว่ากล้าสักที่ไม่ได้ ปลูกเชื้อ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ

แม้ว่าในระบบนิเวศน์วิทยาของป่าธรรมชาติชนิดต่าง ๆ ของประเทศไทยจะมีเชื้อราไมคอร์ไรซากระจายพันธุ์ุ์อยู่ โดยทั่วไปก็ตาม แต่ในบางท้องที่โดยเฉพาะในท้องที่ป่าเสื่อมโทรมซึ่งถูกแผ้วถาง มีการทำไม้หรือทำไร่เลื่อนลอยนาน ๆ หน้าดินถูกชะล้างให้เสื่อมสภาพ ไปมากคือ ประมาณ 40-50 % (พงษ์ศักดิ์ และคณะ, 2523)เชื้อราจะมีอยู่อย่างจำกัด หรือเกิดการขาดแคลนขึ้นได้ ฉะนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งจะต้อง มีการเพาะเลี้ยงเชื้อราไมคอร์ไรซาที่มีประโยชน์เหมาะสม ขยายพันธุ์แล้วนำไปปลดปล่อย และเพาะปลูกเพิ่ม ให้แก่กล้าไม้ ก่อนนำไปปลูกสร้างเป็นสวนป่าใหม่จึงจะสามารถทำได้ ต้นไม้มีอัตราการ รอดตายสูง และมีอัตราการเจริญเติบโตเร็วขึ้น แต่ถ้าต้นไม้ที่นำไปปลูกสร้างสวนป่าใหม่ ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เกี่ยวกับเชื้อราไมคอร์ไรซา โดยใช้วิธีคัดเลือกพันธุ์เชื้อราไมคอร์ไรซา ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ดีแล้ว มักจะพบเห็นเสมอว่า ต้นกล้าหรือต้นไม้ที่นำไปปลูกใหม่จะ มีอัตราการตายสูง การเจริญเติบโตเป็นไปอย่างช้า และแคระแกรน ซึ่งมีผลทำให้โครงการปลูกสร้างสวนป่าล้มเหลว และไม่ประสบผลตามเป้าหมาย เท่าที่ควร ฉะนั้นจึงมีความจำเป็น อย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาวิจัย ว่าในระบบ นิเวศน์วิทยาป่าไม ชนิดและประเภทต่าง ๆ ของเรานั้น มีพันธุ์ไม้ชนิดใดบ้าง ที่มีความสัมพันธ์แบบ ไมคอร์ไรซากับเชื้อราชนิดใดบ้าง เพื่อที่จะนำความรู้นี้ไปดำเนินการคัดเลือกพันธุ์ชนิด ของเห็ดราที่เหมาะสม ไปเพาะขยายพันธุ์ปลูกกับกล้าไม้้เพื่อดำเนินการปลูกสร้างสวนป่า ให้ได้ผลสมความมุ่งหมายต่อไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น